Saturday, June 2, 2018

เติม Import statement อัตโนมัติ ใน PyCharm

รำคาญไหมเวลาเขียนๆ โค้ดอยู่ แล้วต้องเลื่อนหน้าจอขึ้นไปข้างบนสุด
เพื่อเพิ่ม Import statement ขั้นตอนนี้ PyCharm สามารถทำอัตโนมัติได้

วิธีแรก  คือ Alt+Enter ตัวอย่าง


Alt+Enter ใช้ได้ดีทีเดียว แต่ข้อจำกัดคือจะต้องพิมพ์เต็มคำ
เช่น ถ้าอยากใช้ os.path.abspath จะพิมพ์แค่ abs ไม่ได้
(ที่เห็นเด้งขึ้นมาว่า Replace with function call ) ต้องพิมพ์เต็มคำถึงจะใช้ได้


ในกรณีนี้เราจะต้องเปิดฟังค์ชันเสียก่อน แล้วใช้อีกปุ่มลัดหนึ่ง Ctrl + Space 

ฟังชันที่ต้องเปิด คือ Python Auto Import ตามภาพ


และเรียกใช้ด้วยการกด Ctrl ค้างไว้ แล้วเคาะ Space 2 ที


ข้อจำกัดคือต้องพิมพ์ตัวใหญ่เล็กให้ถูกต้องด้วย ตัวอย่าง


Friday, May 25, 2018

Voxel Art

เพิ่งได้เห็นงานแนวใหม่ น่าสนใจ และน่ารักดีครับ
เห็นเรียกกันว่า Voxel Art ก็คือเอากล่องเล็กๆ มาต่อกันคล้ายๆ Pixel Art แบบ 3D นี่แล


มีเวบไซต์ที่ให้สร้างบนหน้าเวบได้เลย เช่น Voxel Builder

หรือโปรแกรมโหลดมาลงได้เช่น MagicVoxel

แปะไว้ก่อนว่างๆ จะลองเล่นดูบ้าง

Reddit ห้อง Voxel Art



Friday, February 16, 2018

Maya error: drInit.mel line 1961: Object '' not found.

เช้านี้มาถึงที่ทำงาน Maya 2017 ที่เปิดทิ้งไว้ ค้าง และต้อง kill task ทิ้งไป

พอเปิดขึ้นมาใหม่  Maya ใช้งานได้ปกติ แต่จะฟ้อง error นี้ซ้ำๆ ตลอดไม่ว่าจะทำอะไร

C:/Program Files/Autodesk/Maya2017/scripts/others/drInit.mel line 1961: Object '' not found.

หลังจากลองหาข้อมูลดู ผมเจอ link Autodesk support ที่บอกว่าเกิดจาก Modeling Toolkit
ทางนั้นหาสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน แต่มีวิธีแก้ง่ายๆ ด้วยการกดเข้าเมนู Modeling Toolkit ทีนึงครับ


ถ้ายังไม่หายอีก เขาแนะนำให้ลองลบ pluginPrefs

Monday, December 25, 2017

The Last Jedi: เพราะคน สำคัญกว่าความ Epic


ก่อนอื่นต้องบอกว่าภาคนี้สนุกครับ แม้จะมีอะไรขัดใจหลายอย่าง ส่วนนี้รีวิวหลายๆ เจ้าเขียนไว้หมดแล้ว

แต่ความประทับใจแรกของผมหลังจากได้ดูภาคนี้ ไม่ใช่ประเด็นที่มีใครเขียนถึงนัก

สปอยแน่นอน ถ้ายังไม่ดูอย่าอ่านต่อครับ

ปัจจุบันนี้หนังฟอร์มใหญ่มากมายเหลือเกิน หรือจะเรียกว่าแทบทุกเรื่อง ล้วนเฮละโลไปในทำนองเดียวกัน คืออาศัย “ขนาด” เป็นตัวหนดความยิ่งใหญ่ของหนัง สุดยอดอาวุธที่ทำลายดาวทั้งดวง จอมวายร้ายที่เป็นภัยกับทั้งจักรวาล กองทัพ CG จำนวนเป็นร้อยๆ พันๆ

แต่ความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างตรงนี้เอง ทำให้หนังทุกเรื่องพยายามเน้นย้ำที่พลังทำลายล้างของอาวุธ/ตัวร้ายเหล่านั้น ตึกถล่ม เมืองทลาย คนหนีตายกันจ้าละหวั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนดูไม่ได้รู้สึกผูกพันธุ์อะไรด้วย

หนังเหล่านั้นกลายเป็นหนังที่ดูเป็นอาหารตาได้อย่างเดียว ผู้ชมไม่มีอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด หนังจบก็จบแค่นั้นแล้วก็ลืมเลือนไป ชาวเมืองนับร้อย ทหารนับหมื่น ดาหน้ากันออกมาตายโดยที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะตัวหนังมัวแต่ให้ความสนใจกับอาวุธ/ตัวร้ายจนละเลยการสร้างความสัมพันธุ์ให้กับคนดูกับตัวละคนอื่นๆ ไปอย่างสิ้นเชิง

เมืองที่ถูกทำให้ลอยขึ้นฟ้า ใน Age of Ultron
ที่แม้มีชาวเมืองหนีตายกันเป็นพันๆ แต่คนดูไม่ได้มีอารมณ์ร่วมหรือเอาใจช่วยอะไร

The Last Jedi มีทุกอย่างรองรับให้สามารถดำเนินเรื่องไปในทำนองเดียวกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สโน๊ก ซึ่งดูแล้วอาจใช้ Force ได้เหนือกว่าพัลพาทีนเสียอีก ไหนจะเรื่องราวย้อนหลังซึ่งเป็นไปได้ว่าสโน๊กคือ Sith Lord ผู้หลับใหลมาแต่โบราณกาลและต้องการตัวลูคเหลือเกินเพื่อฟื้นพลังของตนให้กลับมาเต็มร้อย หรือจะให้จักรวรรดิสร้างอาวุธร้ายแรงแบบ Death Star ขึ้นมาอีกสักอัน...

แต่ The Last Jedi เลือกจับประเด็นที่ตัว “คน” และไม่บ้าเห่อเอาความอลังการบังหน้าเหมือนเรื่องอื่นๆ

ผกก ไม่เลือกที่จะเน้นย้ำความเก่งสุดโต่งของสโน๊ก ตรงกันข้ามกลับทำสิ่งที่ผมนึกไม่ถึง คือไม่เหลียวแลประเด็นนั้นแม้แต่น้อย ตัด ฉับ... แล้วเบนจุดสนใจไปที่ปมขัดแย้งในใจของไคโล เร็น และเรย์

ปมที่คนดูเข้าถึงได้ เอาใจช่วยได้ รู้สึกผูกพันธุ์ด้วยได้


ผมสังเกตจุดนี้มาตั้งแต่ 15 นาทีแรกของหนังแล้วในภารกิจบอมบ์ Dreadnought Star Destroyer ซึ่งตัวหนังให้เวลาเราได้เห็นความพยายามของกองบินทิ้งระเบิดตั้งแต่ต้นจนจบกว่า 5 นาที และได้เห็นนักบินหญิงในยานลำสุดท้ายตะเกียกตะกายอยู่กว่า 2 นาที (และราวกับจะเป็นคำตอบให้รีวิวที่แล้วของผม เมื่อความสามารถของโพยอดนักบินอัจฉริยะแทบไม่มีอิทธิพลอะไรต่อผลของภารกิจ และยานมากมายหลายแบบที่ทำหน้าที่ต่างๆ กัน)

ตลอดทั้งเรื่อง ตัวหนังพยายามสร้างมิติ สร้างความเป็น “มนุษย์” ให้กับตัวละครรองๆ แทบทุกตัว แม้จะเพียงสั้นๆ แต่มันมีอยู่... ผู้การโฮลโดที่ทีแรกเหมือนจะเป็นตัวไม่ดี หรือพ่อค้าอาวุธที่ฟินน์กับโรสเกลียดนักเกลียดหนาแต่สุดท้ายปรากฎว่าขายอาวุธให้กับฝ่ายต่อต้านเช่นกัน ฯลฯ


สุดท้ายนี้ผมขอแปะวิดีโอน่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้นะครับ กับ channel “Just Write” กับหัวข้อ “แม็คกัฟฟิน (MacGuffin) ทำลายภาพยนตร์ได้อย่างไร”  MacGuffin เป็นศัพท์ที่ Hitchcock บัญญัติขึ้นมา ผมได้ดูวิดีโอนี้หลังจากดู The Last Jedi จบไปไม่กี่วัน เป็นจังหวะประจวบเหมาะจริงๆ

https://youtu.be/cih9kj6ZPdg

...
...

ผมขัดใจเรื่องอะไร? ขัดใจที่สุดคือ ลูค สกายวอล์เกอร์นี่แหละ แต่พอดีกว่าเดี๋ยวยาว

Monday, December 21, 2015

Star Wars Force Awakens... ความสนุก ที่ตื้นเขิน

Spoil แน่นอนบอกไว้ก่อน


ความสนุก 8-9/10


คงไม่ต้องบอกอะไรมากกับข้อดี เพราะมีคนชมเยอะแยะไปหมดอยู่แล้ว ผมเองก็เห็นด้วยครับหนังสนุก ดูเพลิน เอนเตอร์เทนดี


เนื้อเรื่อง 5/10 


ในแง่เนื้อเรื่องมีข้อขัดใจหลายข้อ ซึ่งหนังเรื่องนี้ผมว่าตอกย้ำจุดเด่นจุดด้อยของ JJ ได้ชัดเจนมาก คือเก่งฉากแอคชัน แต่ไม่เก่งเรื่องการผูกความรู้สึก หรือสร้างสายสัมพันธุ์ของตัวละครเลย มุขตลก 7/10 ผมชอบ ทำให้ยิ้มให้ขำได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็มีบางส่วนจริงๆ ที่ใส่เข้าไปแบบขอให้ได้เล่นมุขเถอะจนย้อนแย้งในตัวเองให้เกิดข้อสงสัยซะงั้น...


แม้ตัวหนังจะโปรโมท Practical Effect (คือเอฟเฟกหน้ากล้อง prop จริงอะไรจริง ที่ไม่ได้พึ่งแต่ CG) แต่ผมไม่คิดว่า JJ มีหัวด้านนี้นัก เขามองข้ามรายละเอียดยิบย่อยที่พบได้ในชีวิตจริงค่อนข้างเยอะ จนกลายเป็นว่าหลายๆ อย่างรู้สึกเฟคอย่างน่าเสียดาย ยกตัวอย่างพวกยานพาหนะ เช่นในภาพข้างบน เวลาลอย มันลอยเฉย... เฉยสนิทจริงๆ นะครับ ไม่มีเด้งขึ้นลงตามน้ำหนักคนขี่ หรือไหวตามแรงลมอะไรเลย ลองย้อนกลับไปดูภาคเก่าๆ Lucas ไม่พลาดในส่วนนี้


ตัวละครชูโรงตัวแรก เรย์ ซึ่งติดแหงกอยู่บนดาวแจ็คคูคอยหาของเก่าประทังชีวิต การที่เธอเก่งเรื่องการปีนป่ายและอุปกรณ์อิเล็กซ์ทรอนิกส์ อาจจะพออ้างได้ว่าเธออยู่กับซากยาน Star Destroyer มาตลอดชีวิต แต่การที่สามารถใช้ Force ได้อย่างปุบปับ แถมเอาชนะ Sith ที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วนี่มัน... เกินไปมากๆ และไร้ที่มาที่ไปที่สุด หากจำได้ กว่าลู้คจะเริ่มเมพ ที่ปาเข้าไปภาค 6 แล้วนะ เมื่อเทียบความเร็วของพัฒนาการนี่ เรย์ ทำเอา ลู้ค เป็นดาวซินโดรมไปเลยทีเดียว

ตอนเธอใช้ Mind Trick นี่ พวกเราแฟนๆ ทำแบบนั้นเลียนแบบสิ่งที่เคยเห็นเนี่ยมันไม่น่าแปลกหรอก แต่ เรย์ อยู่ๆ ไปเอาไอเดียแบบนั้นมาจากไหน...

การที่เธออยากกลับดาวแจ็คคูเหลือเกินนี่ก็ไม่ค่อยเมคเซ้นส์เท่าไหร่ ถ้าดูจากการประทังชีวิต จะเห็นว่าเธอไม่ได้มีความสุขที่จะต้องทนทุกข์ยากอยู่บนดาวนั้นเสียหน่อย แต่เพราะหวังว่าจะมีคนมารับแค่นั้นเองหรือ เหตุผลมันไม่มีน้ำหนักเพียงพอเลย


ฟินน์ ผมชอบครับ ชอบมากที่สุดในเรื่อง แต่... ตอนท้าย พอ ฮาน ถามว่าทำอะไร กลับตอบ ภารโรง ซะงั้น ทั้งที่ตอนต้นเรื่องก็ลงไปร่วมรบกับเขาด้วยอะนะ? คือดูยังไงๆ ก็เป็นทหารที่ผ่านการฝึกรบมา ยิงปืนในยานบินก็ฝีมือใช่ย่อย แถมใช้อาวุธประชิดตัวก็คล่องแคล่วถึงขนาดต้าน Sith ได้พักนึง แล้วไอ้มุขภารโรงนี่คือขอให้ได้ตลกเหอะ งั้นเหรอ?


โพ ดาเมร่อน... ไม่รู้จะพูดยังไงกับไอ้ตัวนี้ดี คือยัดเยียดให้ไอ้ pay-to-win รายนี้เก่งเวอร์มาก โดยเฉพาะตอนรบกันเหนือคาเฟ่อะไรสักอย่าง ซึ่งหนังใช้เวลานาทีเต็มๆ โชว์โพ สอย free player ร่วงลำแล้วลำเล่า... พอตอนท้ายเรื่องมีตานี่โผล่มานำทีมกองบินปุ๊บ เราก็ไม่ต้องลุ้นแล้วสิครับแหม่ รู้อยู่แล้วมันรอดแน่ และภารกิจต้องสำเร็จแหงมๆ

จริงๆ นะถ้าตายไปตั้งแต่ตอน Tie Fighter ตก เรื่องนี้คงลุ้นขึ้นอีกเป็นกอง


แมส เป็น Full CG ซึ่งไม่ได้เนียนเล้ย ทั้งที่มนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่ในคาเฟ่ เป็น Practical Effect ที่น่าสนใจกว่ากันหลายขุม แต่กล้องกลับส่ายไปส่ายมา ให้เห็นของดีแค่แว้บๆ นั่นนิด นี่หน่อย แต่โชว์แมสเยอะๆ ที่แสนจะไม่เนียน เฮ้อ

ความเห็นส่วนตัว ดาบของลู้ค ที่ร่วงลงไปตอนเขาโดนตัดแขนที่ Cloud City ได้คืนมาได้ยังไงผมว่าเป็นประเด็นน่าสนใจมาก แต่เจ๊แกตัดบท MIND YOUR OWN FUCKING BUSINESS ... คือ โอเค สรุปว่าคนแต่งก็ไม่รู้เหมือนกัน


ฮาน โซโล ตัวโปรดของใครหลายๆ คนรวมถึงผมด้วยในภาคก่อนๆ แต่มาภาคนี้ ผมรู้สึกว่าคาแรกเตอร์แก ไม่ใช่ฮาน โซโล เท่าไหร่... แต่เป็นตลกโปกฮา เกรียน กวนตีน แบบ อินเดียน่า โจนส์ มากกว่า

ผมขอพูดถึงชิวเบคก้าดีกว่า ชิววี่ ผู้เป็นคู่หูกับฮานมานานแสนนาน... กลับแทบไม่มีทีท่าเสียใจต่อการจากไปของฮานเลย นอกจากตะโกนอาละวาดนิดหน่อย พอกลับไปถึงฐาน ชิววี่เดินสวนกับเลอาไปหน้าตาเฉย ผงกหัวนิดหน่อย... คือ จริงดิ? ถ้าจะมีใครเสียใจต่อการจากไปของฮานที่สุด ก็ต้องชิวเบคก้านี่แหละครับ แต่เลอา กลับเดินผ่านชิววี่ ไปกอดเรย์ซะงั้น... 

โอเค คือในเรื่องก็พยายามปูให้เรย์มองฮานเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า แต่อย่างที่บอก JJ ไม่อาจสร้างความสัมพันธุ์นั้นขึ้นมาในความรู้สึกของผมได้เลย คือมันยัดเยียดมากๆ ไม่อิน ไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย

เลอา เอง ก็ไม่ได้มีบารมีหรือมาดสมเป็นผู้บังคับบัญชาเลย เจ๊แกเหมือนคุณแม่แก่ๆ คนนึงที่มาเดินเล่นมากกว่า...

ทีนี้ เรื่องของศึกกลางเวหา




ลองดูในคลิปข้างบนนะครับ ว่าฝ่ายกบฏมียานรบหลายหลายแค่ไหน ซึ่งเหมาะสมกับภารกิจต่างๆ กัน นักบินแต่ละกองบินก็มีหน้าที่แตกต่างกันด้วย X-Wing มักปกป้องยานทิ้งระเบิด ยานทิ้งระเบิดพุ่งเป้าไปที่ยานใหญ่หรือฐานทัพ A-Wing ความเร็วสูงรับมือยานเล็กฝ่ายตรงข้าม etc จุดประสงค์ของยานแต่ละชนิดเมื่อผสมผสานกันทำให้ฉากยิงกันมีความน่าสนใจและลึกล้ำ

ทีนี้ ใน Force Awakens คือถามจริงใครเป็นคนคิด ให้มีแต่ X-Wing ล้วนๆ??? ความรู้สึกคือเหมือนทุกคนบินไปเพื่อตั้งหน้าตั้งตาบอมฐานกันถ้วนหน้า ไม่มีใครมีหน้าที่ระวังหลัง เก็บตก หรืออะไรทั้งนั้น แถมถ้ากะบอมฐานจริง เอา Y-Wing ไปหน่อยไม่ดีหรือ...




ข้อสุดท้ายที่ขัดใจที่สุด คงเป็นเรื่องของความหนักหนาที่ลู้ค และฮาน แบกรับไว้บนบ่า... ซึ่งมันไม่ได้ดูหนักหนาพอจะทำให้ทั้งสองคนพากันหนีความจริง ทิ้งให้เลอารับหน้าที่บัญชาฝ่ายกบฏอยู่คนเดียวเลยครับ คือ ไคโล เป็นลูกฮาน แล้วไง? แค่นั้นถึงกับต้องหนีความจริงกลับไปขนของเถื่อนเลยเหรอ ลู้คเองก็เรียกว่าแทบจะเป็นคนเดียวที่ต่อกรกับ Dark Force ได้แต่กลับหนีไปซะงั้น

เอาจริงๆ นะครับ 2 คนนี้ ผ่านโลกมามากกว่านั้นครับ เขาเจอเรื่องร้ายๆ และมรสุมชีวิตมาตั้งขนาดนั้น เหตุผลแค่นี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ทำให้รู้สึก 2 คนนี้เห็นแก่ตัวมากๆ ถ้าจะมีเหตุให้ 2 คนนี้หนีไปจริงๆ มันต้องหนักหนากว่านั้นมากครับ

ผมลองคิดเล่นๆ นะ สมมุติ ลูกของฮาน ไปสู่ด้านมืดจริง.. แล้วลู้ค เป็นคนฆ่าลูกฮานกับมือ!! คือปล่อยข่าวแบบนั้นแต่จริงๆ แล้วไม่ได้ฆ่า แบบนี้สิครับลู้คมองหน้าเลอาไม่ติดแน่ๆ และความตึงเครียดระหว่างลู้คกับฮาน... ไม่อยากนึกเลย แถมพอไคโรเผยตัวทีหลังว่าเป็นลูกฮานนี่คงมันส์น่าดู

จริงๆ ยังมีอีกเยอะแต่พอดีกว่าชักจะยาว

Saturday, December 12, 2015

Pixar "Denoise" test

เพิ่งเริ่มหัด Speedtree ครับ พอลองใส่ลมพัดดูแล้ว ก็เกิดสงสัยขึ้นมา ว่า Denoise ที่มากับ Renderman มันจะช่วยแก้กระพริบเวลาเรนเดอร์งานละเอียดๆ อย่างนี้ได้แค่ไหน

ผลที่ได้ผมว่าน่าประทับใจมากครับ ทั้งที่เซตเรนเดอร์แบบหยาบมากๆ
- 72 max samples
- 0.005 threshold
(ค่าที่ Pixar แนะนำสำหรับ production คือ 256 max samples และ 0.001 threshold)





ขั้นตอนสร้างต้นไม้
1. สร้างใบ ใน Speedtree แล้วแคปภาพมุมต่างๆ ออกมาเป็น texture
2. เอา texture ไปลองสร้าง low poly ใน Maya ดู
3. ส่งโมเดลจาก #2 กลับเข้า Speedtree เพื่อเอาไปแปะบนต้นไม้
4. export Alembic พร้อมแอนิเมชันลมพัด ส่งกลับเข้า Maya


รัน Pixar Denoise แบบ stand alone

Denoiser เป็นฟังค์ชั่นที่เพิ่มมาใหม่ใน Renderman ver 20.x ซึ่งจากภาพตัวอย่างในเวบ Pixar แล้ว น่าใช้เป็นที่สุด

ภาพจาก http://renderman.pixar.com/view/denoiser

ปกติ เราสามารถสั่งเปิด Denoise ได้จาก Render Globals ใน Maya ซึ่งมี 2 โหมดหลักๆ คือ single frame ซึ่งแก้ noise ในภาพเดียว และ cross frame ซึ่งจะดูเฟรมหน้าและหลัง ด้วย


แต่ว่าการสั่ง denoise ใน render globals เลยนั้นผมว่าไม่สะดวกนัก เพราะคำสั่งนี้จะไม่ทำงานเลย จนกว่าการเรนเดอร์จะสิ้นสุดถึงเฟรมสุดท้าย ซึ่งถ้าเรา cancel batch render กลางคัน คำสั่งก็จะไม่รันเลย

ดังนั้นวิธีที่ดีกว่า คือการสั่งจาก command line ซึ่งเราจะพบตัว denoise.exe ได้ ใน folder ของ Pixar

  

ซึ่งวิธีการใส่คำสั่ง ผมแนะนำให้ทำเป็น bat ไฟล์ ซึ่งทำเพียงไฟล์เดียวแล้วก็อปวางใน folder ที่ต้องการใช้งานได้ สะดวกมาก

 PATH "C:\Program Files\Pixar\RenderManProServer-20.5\bin"; %PATH%;  
 dir /b *.exr > files.txt  
 denoise.exe -b --crossframe -v variance files.txt  

PATH = เพื่อให้ bat file รู้ตำแหน่งของ denoise.exe
dir = เพื่อเซฟรายชื่อไฟล์ exr ใน folder นั้นๆ ลง files.txt
และบรรทัดสุดท้ายคือรัน denoise โดยใช้ variance เพื่อใช้รายชื่อไฟล์ที่เซฟเอาไว้

หลังจากนั้น นำ bat ไฟล์ ก๊อปไปวางไว้ใน folder ของไฟล์ภาพ

ก่อนรัน denoise.bat
 
หลังรัน denoise.bat

โดย default โปรแกรม denoise จะสร้างไฟล์ด้วยชื่อ _filtered และวางไว้ที่เดียวกับไฟล์ต้นแบบเลย

ถ้าต้องการตั้งชื่อใหม่ หรือเซฟไปที่อื่น ทาง Pixar มี flag อื่นๆ ให้เราทำได้ อันนี้ลองหาข้อมูลใน doc ดูนะครับ

https://renderman.pixar.com/resources/current/RenderMan/risDenoiseTool.html

ถามว่า จะสามารถ denoise ภาพที่เรนเดอร์จากโปรแกรมอื่นได้มั้ย... denoise tool จำเป็นต้องใช้ albedo pass ในไฟล์ exr ซึ่งหาก render engine ที่เราเลือกใช้สามารถเรนเดอร์ pass นี้ได้ ก็คงได้ละมังครับ อันนี้ผมไม่แน่ใจเพราะ V-Ray ผมยังหาวิธีเรน albedo pass ไม่ได้เลย

ถึงจะดูคล้ายๆ diffuse แต่มันเป็นคนละอย่างกัน


เดี๋ยว entry ต่อไปผมจะเอาผลการ denoise animation ต้นไม้มาลงให้ดูนะครับ